ค่าเสียหายจาก “เกาะความร้อน” ในกรุงเทพ
- Carbonoi

- 26 เม.ย.
- ยาว 1 นาที
ร้อนนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ในกรุงเทพฯ คือผลจากเกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island - UHI) ปรากฏการณ์ที่พื้นที่ในเมืองมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบอย่างชัดเจน กลางวันร้อน พอกลางคืนก็ยังเก็บไอร้อนไว้ นี่คือภัยเงียบที่เราไม้รู้ตัว
ถนนปูน คอนกรีตล้วน ตึกสูงสีดำ กระจกทั่วเมือง รถติดพ่นควัน แอร์พ่นไอร้อน ต้นไม้น้อย ขาดแหล่งน้ำ ชุมชนแออัด ล้วนทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นเตาอบที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลจากรายงาน “Shaping a Cooler Bangkok: Tackling Urban Heat for a More Livable City” ที่จัดทำโดย World Bank Thailand และ กรุงเทพมหานคร บอกว่า
📌 ถ้าอุณหภูมิเมืองเพิ่มขึ้น 1°C อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความร้อนมากขึ้นกว่า 2,300 คนต่อปี กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก 880,000 คน และผู้สูงอายุอีก 1 ล้านคน เสี่ยงมากที่สุด
📌 ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นอีก 1°C ประสิทธิภาพการทำงานอาจลดลง 3.4%ส่งผลให้ค่าจ้างสูญหายกว่า 44,000 ล้านบาทต่อปี ในปี 2019 มีแรงงานประมาณ 25% หรือ 1.3 ล้านคน ทำงานกลางแจ้งอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน
📌 ถ้าอุณหภูมิที่สูงขึ้น 1°C อาจทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 17,000 ล้านบาทต่อปี บิลค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือนกลายเป็น 450 บาท
📌 เราจะมีวันที่ร้อนเพิ่มมากขึ้น ระหว่างปี 1960–2000 กรุงเทพฯ มีอุณหภูมิเกิน 35°C ประมาณ 60–100 วันต่อปี แต่ภายในปี 2100 อาจเพิ่มเป็น 153 วันต่อปี
📌เขตเมืองหนาแน่น เช่น ปทุมวัน บางรัก ราชเทวี พญาไท อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบถึง 2.8°C เพราะมีอาคารสูงและพื้นคอนกรีตสะสมความร้อน
📌 ความร้อนจัดยังทำให้ถนนและโครงสร้างอื่น ๆ เสียหายเร็วขึ้น ต้องซ่อมแซมบ่อยขึ้น และเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจโดยรวม
กทม. ได้เริ่มดำเนินมาตรการรับมือไปหลายอย่าง เช่น แผนรับมือความร้อน ระบบแจ้งเตือนตามระดับความร้อน และโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ยังมีช่องว่างสำคัญในการพัฒนาให้เมืองเราเย็นขึ้นตามกรอบแนวคิด “Places, People, Institutions” เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อความร้อนในเมือง เพราะสุดท้าย ความร้อนไม่ใช่แค่เรื่องสภาพอากาศ แต่คือการวางระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เย็นลงได้จริงและต้องเย็นทั่วถึงกัน
ชวนอ่านรายงานต่อได้ที่




ความคิดเห็น