ปี 2025 เศรษฐกิจไปต่อ แต่โลกห้ามพัง: ⚡5 เรื่องค้างคาที่ใกล้ถึงจุดเปลี่ยน ⚡
- Carbonoi

- 6 ม.ค.
- ยาว 2 นาที
ปี 2025 ครึ่งทางของทศวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาแห่งการวัดใจว่า อนาคตของโลกจะสดใสหรือมืดมนกว่านี้กันแน่ เมื่อทุกประเทศยังต้องเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกับการดำเนินงานรับมือ Climate Change ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เพจคาร์บอนน้อยได้ติดตามบทวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก Oxford Economics ขอนำ 5 ตีมด้านความยั่งยืนที่กำลังจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในปีนี้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ
Theme 1: ยิ่งจน ยิ่งลำบาก ยิ่งเหลื่อมล้ำ
#ค้างคา
ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งโลก กำลังต้องแบกรับผลกระทบอย่างหนักหนา เช่น อากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งสร้างความลำบากให้กับประชาชนที่ยากจน กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรัง สร้างภาระหนี้สินให้ประเทศมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศรายได้สูงสามารถใช้เทคโนโลยีสีเขียวได้อย่างรวดเร็ว ประเทศกำลังพัฒนากลับต้องเจอกับข้อจำกัดด้านเงินทุน เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน
ความเหลื่อมล้ำนี้เชื่อมโยงกับความแตกแยกทางการเมืองอีกด้วย ปัญหาเศรษฐกิจมักมาพร้อมกับนโยบายประชานิยมที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นแทน
การผลักดันเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำจึงสำคัญทั้งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนและการแก้ไขปัญหาความยั่งยืน
มีการประเมินว่าประเทศแถบแอฟริกาต้องเผชิญต้นทุนการปรับตัวที่สูงกว่า GDP ของตัวเองเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเดินหน้าปลูกป่าตามโครงการกำแพงต้นไม้ยักษ์ (Great Green Wall) ยาว 8,000 กิโลเมตรทอดขวางกลางทวีปแอฟริกา ให้เป็นแนวป้องกันทางธรรมชาติ หยุดยั้งการขยายตัวของทะเลทรายซาฮารา โครงการนี้จะไปต่อได้ก็ต่อเมื่อมีการสนับสนุนระดับนานาชาติเท่านั้น
.
.
#จับตากันต่อ
ในปี 2025 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) จะตัดสินประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียม และจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้ประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายต้องแสดงความรับผิดชอบมากขึ้น เครื่องมือทางการเงินหนึ่งที่เข้ามาช่วยได้คือ Debt-for-nature swaps (DNS) ข้อตกลงระหว่างประเทศลูกหนี้กับประเทศเจ้าหนี้หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ให้ยกหนี้สินแลกกับการดำเนินงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ป่าไม้ การส่งเสริมการทำเกษตรกรรมและการประมงแบบยั่งยืน
.
.
Theme 2: Climate Finance เงินมาแต่ยังไม่พอ
#ค้างคา
การกระจายทรัพยากรเงินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นองค์ประกอบสําคัญของข้อตกลงปารีส มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณทางการเงินใหม่ (New Collective Quantified Goal - NCQG) เพื่อสนับสนุนประเทศกําลังพัฒนาให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ คุยกันมานับสิบปีจนได้ข้อตกลงล่าสุดในเวที COP29 ปีที่ผ่านมา เพิ่มการจัดสรรเงินทุนเป็น 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีจากประเทศที่มั่งคั่งไปยังประเทศกำลังพัฒนาภายในปี 2035 แต่ยังห่างไกลจากความต้องการจริงที่ประเมินไว้ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนี้ ปี 2025 จะเริ่มนับหนึ่งการดำเนินงานของกองทุนชดเชยความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund - LDF) ที่มีเป้าหมายจัดตั้งกลไกการเงินเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการฟื้นฟูจากผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศ
แต่กองทุนนี้เป็นคนละส่วนกับ NCQG และยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม จึงน่าหวั่นใจว่ากองทุนจะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
แต่ยังมีด้านบวกจากสถาบันการเงินเอกชน ที่เริ่มปรักลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความยั่งยืน ออกสินทรัพย์ทางการเงินที่ยั่งยืน เช่น พันธบัตรสีเขียว คาร์บอนเครดิต หรือลงทุนในโครงการที่เพิ่มมูลค่าทุนทางธรรมชาติ และยังสร้างโอกาสทำกำไรในระยะยาวอีกด้วย
.
.
#จับตากันต่อ
ในปี 2025 แต่ละประเทศจะปรับปรุงเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ (Nationally Determined Contributions - NDCs) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการหารือใน COP30 ซึ่งคาดหวังกันว่าทุกประเทศจะเพิ่มเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ทันกับการลดอุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส แต่ส่อเค้าว่าประเทศกำลังพัฒนาอาจไม่สามารถทำได้จริง หากไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินเท่าที่ควร Climate Finance จึงเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญของการวางกลยุทธ์ระดับประเทศหลังจากนี้
.
.
Theme 3: AI ไม่ใช่ยาวิเศษ
#ค้างคา
เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่าง AI แผ่ขยายเข้าสู่ทุกวงการ และคาดหวังว่าจะมาช่วยโลกเราได้ทันเวลา ตัวอย่างโอกาสในการใช้ AI เพื่อลดผลกระทบของ Climate Change เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงข่ายพลังงาน การปรับปรุงการขนส่งและห่วงโซ่อุปทาน การสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศที่แม่นยำ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงได้ แต่โอกาสเหล่านี้ยังต้องให้เวลา AI เรียนรู้ และยังไม่ชัดเจนว่าประโยชน์ที่ได้จะคุ้มค่าหรือไม่
การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เช่น ไฟฟ้า น้ำ และแร่ธาตุสำคัญ แม้บางบริษัทจะพยายามลดผลกระทบ เช่น ใช้พลังงานสะอาด แต่การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมนี้อาจทำให้การบริโภคทรัพยากรเพิ่มขึ้นอยู่ดีในปี 2025
AI ไม่ใช่ยาวิเศษ เรายังต้องพัฒนาเทคโนโลยีไปพร้อมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ หากมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพของ AI อย่างเดียว อาจเกิด "ผลกระทบย้อนกลับ" (rebound effect) เมื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพกลับนำไปสู่การบริโภคทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น สาเหตุเกิดจากความสะดวกสบายและต้นทุนที่ลดลงจากการใช้ AI ทำให้มนุษย์ยิ่งมีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
#จับตากันต่อ
รัฐบาลและผู้นำในอุตสาหกรรมนี้จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเพื่อให้ AI สร้างประโยชน์มากกว่าผลกระทบ เรากำลังจะเห็นการกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น เช่น การบังคับใช้พลังงานสะอาดสำหรับศูนย์ข้อมูล การวิจัยเฉพาะทางเกี่ยวกับโมเดล AI ที่ใช้ทรัพยากรน้อย รวมถึงการใช้งาน AI เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด
.
.
Theme 4: “ความยั่งยืน” พูดแล้วต้องพิสูจน์
#ค้างคา
ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมขององค์กร บรรดาภาคธุรกิจตระหนักแล้วว่าธรรมชาติที่เสื่อมโทรมจะสร้างความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ เราจึงเห็นความตั้งใจดีในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมากขึ้น เช่น การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว การปรับใช้ nature-based solutions ไปจนถึงการจัดทำรายงานความเสี่ยงและเป้าหมายขององค์กรแบบสมัครใจ แต่เป็นไปตามหลักสากล เช่น Taskforce for Climate-related Financial Disclosures และ Science-Based Targets Initiative
หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังต่อยอดจากมาตรฐานสมัครใจ เปลี่ยนเป็นการเปิดเผยข้อมูลภาคบังคับ ซึ่งช่วย ให้มีการจัดโครงสร้างข้อมูลลงลึกไปถึงการเปิดเผยข้อมูลทั้งห่วงโซ่อุปทานอย่างโปร่งใสต่อลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ
มาตรฐานใหม่ที่เกิดขึ้นจะเน้นหลักการ Dual Materiality ที่ประเมินผลกระทบด้านความยั่งยืนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน ที่มีต่อตัวองค์กร (Outside-in) และผลกระทบจากการกระทำขององค์กรต่อผู้มีส่วนได้เสียภายนอก (Inside-out) เป็นการมองทั้งจากสองด้านเพื่อลดความเสี่ยง Green Washing
.
.
#จับตากันต่อตั้งแต่ปีงบประมาณ 2025 มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนแห่งยุโรป (European Sustainability Reporting Standards - ESRS) จะกลายเป็นข้อบังคับสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหมดในยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มที่ภูมิภาคอื่นทั่วโลกก็จะนำไปปรับใช้ตามกัน ดังนั้น บริษัททั่วโลกควรเรียนรู้จากประสบการณ์ขององค์กรยุโรปที่นำร่องใช้มาตรฐานนี้
.
.
Theme 5: นโยบายสั่นคลอน ขาดตอน ไม่ถึงเป้า
#ค้างคา
ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ เช่นในยูเครน กาซา ทำให้หลายประเทศต้องจัดลำดับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน มาก่อนการแก้ปัญหา Climate Change ทำให้ความร่วมมือระดับโลกในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงไปได้ช้ากว่าที่หวังกันไว้
ในสหรัฐอเมริกา การกลับมาดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ค่อนข้างแน่นอนว่ามาพร้อมกับการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง และการยกเลิกกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ซึ่งอาจขัดขวางเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ แต่หลายรัฐที่นำโดยพรรครีพับลิกันยังคงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงทุนใน IRA และชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประเทศในข้อตกลงปารีส ทำให้การดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐดูคลุมเครือไปเสียหมด
ขณะที่สหภาพยุโรปที่ดูเหมือนเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งในเยอรมนี ฝรั่งเศส ที่อาจบั่นทอนความเป็นเอกภาพด้านสภาพภูมิอากาศของกลุ่ม EU ส่วนสหราชอาณาจักรที่มีอิสระการดำเนินงานมากกว่าหลายประเทศในยุโรป ได้ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050 ที่ทะเยอทะยานมาก แต่ปัญหาด้านการเงินของรัฐบาลก็ฉุดให้การลงทุนใหม่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
.
.
#จับตากันต่อ
การรักษาความต่อเนื่องของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางความเปราะบางทางการเมือง จะเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนทั้งในภาครัฐและเอกชน แม้หลายประเทศได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในเวทีนานาชาติ แต่รัฐบาลปัจจุบันต้องให้ความสำคัญและวางกลยุทธ์ให้สามารถดำเนินการได้จริง
—---------------
อ้างอิง
—---------------
ติดตามคาร์บอนน้อยช่องทางอื่นได้ที่
Instagram: carbonoi.ai
Facebook: www.facebook.com/carbonoi.ai.th
—---------------
#Carbonoi #AIforClimateChange #CarbonReduction #CarbonFootprint #CarbonCalculator #ClimateTech #ClimateFinance #GreenSupplyChain #LowCarbonEconomy #Sustainability #ESGThailand #คาร์บอนน้อย #เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ




ความคิดเห็น