วิกฤตส่งสัญญาณถี่ขึ้น โลกต้องเร่งเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำด้วย AI
- Carbonoi

- 14 ก.ย. 2567
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 19 ก.ย. 2567
วิกฤตใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ทั่วโลกลงความเห็นตรงกันว่าเป็นวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ บางคนอาจเรียกติดปากว่าเป็นปัญหาโลกร้อน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจและสังคมภาพรวมของทั้งประเทศไทยและนานาชาติ
ตามรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า กิจกรรมของมนุษย์ได้ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2°C จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิถึง 1.5°C ภายในปี 2030 การเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้ ได้ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ทางสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น
รายงานระบุอย่างชัดเจนว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ทำลายป่า เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ส่งผลกระทบตั้งแต่ชั้นบรรยากาศ มหาสมุทร และแผ่นดิน เช่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งหดตัว คลื่นความร้อน ฝนตกหนัก และมหาสมุทรเป็นกรด ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่แม้จะใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้
หากภาวะโลกร้อนเกิน 1.5°C ความเสี่ยงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ จากโรคที่เกี่ยวกับความร้อน คุณภาพอากาศและโรคทางเดินหายใจ ความมั่งคงทางอาหารและน้ำ ความเป็นอยู่ของมนุษย์
เพื่อลดภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1.5°C หรือแม้แต่ 2°C จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทันที ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์สุทธิ (Net Zero) ภายใน 2050
ยิ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ช้า ยิ่งทำให้มนุษย์ต้องเจอกับผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จัดทำนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมหลากหลายมิติรวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน เพื่อลดภัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Photo courtesy of facebook: Wanchai Phutthawarin
ความเสียหายต่อเนื่องต่อระบบเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบกว้างขวางต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ต้นทุนระยะสั้น
ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานในการซ่อมแซมบำรุงรักษาสภาพอากาศสุดขั้วที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น เช่น พายุ น้ำท่วม และคลื่นความร้อน ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อโครงสร้างพื้นฐาน บ้านเรือน และธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและคลื่นความร้อนทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและการเสียชีวิต ซึ่งสร้างภาระที่หนักอึ้งให้กับระบบสุขภาพ อีกทั้งทำให้การแพร่กระจายของโรคที่มียุงเป็นพาหะรุนแรงขึ้น เช่น มาลาเรียและไข้เลือดออก
การสูญเสียผลผลิตสภาพอากาศสุดขั้วและคลื่นความร้อนส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพของแรงงาน หลายสถานที่ทำงานทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการต้องหยุดชะงัก ผลผลิตในการทำงานลดลง ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่ดี เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ผลผลิตพืชทั่วโลกจะลดลง 5-15% ซึ่งทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น
ต้นทุนระยะยาว
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โลกจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมากในการปรับปรุงและอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของสภาพภูมิอากาศในอนาคต ด้าน Global Commission on Adaptation ประเมินว่าการลงทุน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สามารถสร้างผลประโยชน์สุทธิ 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล พื้นที่ชายฝั่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งอาจนำไปสู่การย้ายถิ่นฐานของชุมชนและจำเป็นที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการสร้างแนวป้องกันชายฝั่ง
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2100 จากโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพระยะยาว เช่น โรคทางเดินหายใจจากอากาศที่มีมลพิษ และปัญหาสุขภาพจิตจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
การพลัดถิ่นทางเศรษฐกิจและการย้ายถิ่นฐานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ผู้คนสูญเสียแหล่งรายได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยว อาจส่งผลให้เกิดการพลัดถิ่นทางเศรษฐกิจระยะยาว ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้มีการย้ายถิ่นฐานภายในประเทศสูงถึง 140 ล้านคน ภายในปี 2050 เนื่องจากผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมักมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบของสภาพภูมิอากาศอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง ทำให้ช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศที่ยากจนกว้างขึ้น รวมถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนร่ำรวยมากขึ้น
โอกาสจากวิกฤตโลกร้อน
การมุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำคือคำตอบในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ผลิต ผู้บริโภค ภาคธุรกิจ และรัฐบาลมีส่วนสำคัญที่ต้องช่วยกันด้วยเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
โอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงาน
การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะสร้างโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น พลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, ลม, น้ำ) เทคโนโลยีพลังงาน และการขนส่งที่ยั่งยืน รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนวัตกรรม เช่น แบตเตอรี่ ยานพาหนะไฟฟ้า และเทคโนโลยีการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (CCS) เป็นต้น ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ช่วยให้เกิดความต้องการในตลาดและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังช่วยช่วยลดมลพิษทางอากาศและน้ำ ส่งผลให้สุขภาพประชาชนดีขึ้นอากาศที่สะอาดช่วยลดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ
โอกาสการลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงด้านพลังงานการลงทุนในแหล่งพลังงานทดแทนจะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาพลังงานนำเข้า ลดความเสี่ยงจากราคาพลังงานฟอสซิลที่ผันผวน การใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน สามารถลดค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค เช่น อาคารและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดค่าไฟได้อย่างมาก
โอกาสการดึงดูดลูกค้าและนักลงทุน
ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะมองหาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ ธุรกิจที่นำแนวปฏิบัติที่มีคาร์บอนต่ำมาใช้ สามารถเสริมสร้างชื่อเสียงของแบรนด์และดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดและความต้องการของผู้บริโภค บริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดีด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการ (ESG) อาจดึงดูดการลงทุนมากขึ้นและได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่ดีขึ้น
ความท้าทาย
การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำต้องลงทุนล่วงหน้าในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานใหม่จำนวนมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภาคส่วนที่พึ่งพาแหล่งพลังงานดั้งเดิมจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานและความท้าทายทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำบางอย่างยังอยู่ในระยะพัฒนาหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิค ตัวอย่างเช่น การนำเทคโนโลยีการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (CCS) ไปใช้ในวงกว้างยังต้องลดต้นทุนอีกมาก รวมถึงความต้องการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อรองรับเทคโนโลยีและวิธีการใหม่ เช่น หากสังคมต้องเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะไฟฟ้า จะต้องพัฒนาเครือข่ายการชาร์จไฟที่มากเพียงพอ
นโยบายที่ชัดเจนมีความจำเป็นต่อการสร้างแรงจูงใจให้ทั้งสังคมขยับไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ หากนโยบายไม่มีความต่อเนื่อง และกฏระเบียบซับซ้อนที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำ จะเป็นอุปสรรคในการดึงดูดการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ความกังวลเรื่องความเท่าเทียม การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำอาจส่งผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมต่อชุมชนที่มีรายได้น้อยและแรงงานในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล การจัดการช่องว่างด้านทักษะและการให้โอกาสในการฝึกอบรมแรงงานใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้เวลาและองค์ความรู้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม
โอกาสของเทคโนโลยี AI สำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ด้านประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน
AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงาน โดยคาดการณ์ช่วงเวลาที่ใช้พลังงานสูงสุดและปรับการกระจายพลังงานให้เหมาะสม ลดความจำเป็นในการผลิตพลังงานจากฟอสซิลเพิ่มเติม อาคารที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ทำความร้อน การระบายอากาศและการปรับอากาศ (HVAC) ระบบไฟฟ้า และกระบวนการที่ใช้พลังงานสูง
ในภาคการขนส่ง AI ช่วยคำนวณการเดินทาง ลดระยะทาง หลีกหนีเส้นทางแออัด ทำให้ใช้พลังงานน้อยลง และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง
ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานทดแทน
AI ช่วยให้เกิด Smart Grid หรือ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ใช้ AI คำนวณดาต้าร่วมกับเซนเซอร์และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ ทำให้บริหารจัดการด้านไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรที่น้อยลง สามารถรองรับการขยายตัวของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้ เพิ่มความเชื่อถือของการติดตั้งพลังงานทดแทน เช่น กังหันลมและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ รวมทั้งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการผลิตพลังงานทดแทน จากการวิเคราะห์รูปแบบสภาพอากาศ ข้อมูลในอดีต และสภาพการณ์ปัจจุบัน ซึ่งช่วยปรับสมดุลระหว่างความต้องการใช้และการผลิต ทำให้รวมพลังงานทดแทนเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านการจำลองสภาพภูมิอากาศและการวิเคราะห์
AI สามารถเพิ่มความแม่นยำของการจำลองสภาพภูมิอากาศ จากการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ช่วยชี้รูปแบบและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในอนาคตได้ เครือข่ายดาวเทียมและเซ็นเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า คุณภาพอากาศ และระดับน้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์โดยใช้ข้อมูลจากอดีตไม่ได้บอกอนาคตเสมอไป ยังมีสิ่งไม่คาดคิดที่ AI ต้องเรียนรู้อีกมาก
ด้านเกษตรกรรมแม่นยำ
AI ปฏิวัติการเกษตรโดยการใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น ใช้โดรนและเซ็นเซอร์เพื่อติดตามสุขภาพพืช สภาพดิน และรูปแบบสภาพอากาศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย และควบคุมศัตรูพืช ลดการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำการเกษตร นอกจากนี้ การคาดการณ์ผลผลิตของพืชที่แม่นยำ ช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีข้อมูล ลดของเสีย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านการลดการปล่อยคาร์บอน
AI สามารถช่วยให้องค์กรติดตามและลดคาร์บอนฟุตปรินท์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบการปล่อยคาร์บอน ระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุง และพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานจากการลดของเสีย และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ในส่วนของการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (CCS) อัลกอริธึม AI สามารถปรับปรุงการตรวจจับการรั่วไหลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และรับรองการจัดเก็บคาร์บอนที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต เช่น AI ประเภทคอมพิวเตอร์วิชั่นสามารถอ่านภาพถ่ายดาวเทียมของป่าเพื่อคำนวณคาร์บอนเครดิตได้
ด้านการสนับสนุนการวางนโยบายและการตัดสินใจ
เครื่องมือ AI สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของนโยบายและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ช่วยในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการที่มีผลกระทบมากที่สุด อีกทั้ง ช่วยเพิ่มความตระหนักและการมีส่วนร่วมของสาธารณะ แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปรับการสื่อสารให้ตรงจุดได้ เช่น ChatNetZero เป็น AI ประเภท LLM ที่ถูกเทรนให้ตอบคำถามเกี่ยวกับ Climate Change โดยเฉพาะ
บทสรุป
หากโลกเราไม่ลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ ต้นทุนทางเศรษฐกิจจะตามมามหาศาล ทั้งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลสุขภาพ และผลผลิตในทั้งระยะสั้นและระยะยาว การลงทุนในการบรรเทาผลกระทบและการเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำสามารถช่วยลดต้นทุนและให้ผลประโยชน์ในระยะยาว นั่นทำให้การรวมเทคโนโลยี AI เข้ากับกลยุทธ์การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นโอกาสที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนโยบายและธุรกิจในการสนับสนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โลกผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้หลายศตวรรษ ขอเพียงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าใจ และใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับตัวและปรับกระบวนการดำเนินการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ความยั่งยืนได้
อ้างอิง
IPCC. (2021). Sixth Assessment Report: The Physical Science Basis.
World Meteorological Organization (WMO). (2021). State of the Global Climate 2020
International Labour Organization (ILO). (2021). Working on a Warmer Planet.
World Bank. (2021). Climate Change and Migration.
Global Commission on Adaptation. (2019). Adapt Now: A Global Call for Leadership on Climate Resilience. Global Center on Adaptation.




ความคิดเห็น